บทคัดย่องานวิจัย

การพัฒนาและเพิ่มมูลค่าเปลือกทุเรียนวัสดุเหลือทิ้งเป็นแหล่งอาหารสัตว์คุณภาพสูงสู่จังหวัดชายแดนใต้

ซารีนา สือแม.
สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)/กรุงเทพมหานคร.(2564).

บทคัดย่อ

การศึกษาการพัฒนาและเพิ่มมูลค่าเปลือกทุเรียนวัสดุเหลือทิ้งเป็นแหล่งอาหารสัตว์คุณภาพสูงสู่จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งการทดลองที่ 1 ศึกษาชนิดของสารเสริมในการหมักเปลือกทุเรียน 3 ชนิด คือยีสต์ (T1), เกลือ (T2) และโซเดียมไนเตรท (T3) ปริมาณ 1% ใช้แผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (Completely randomized design; CRD) ต่อลักษณะทางกายภาพและองค์ประกอบทางเคมี พบว่าเปลือกทุเรียนหมักสูตรเกลือมีสีเหลืองมะกอกซึ่งมีความสว่าง (L=35.85) อย่างมีนัยสำคัญ (P<0.05) กว่าสูตรโซเดียมไนเตรทและยีสต์ (L=27.63 และ 23.12) กลิ่นของเปลือกทุเรียนหมักทั้งสามกลุ่มค่อนข้างหอมเหมือนอาหารดอง และมีกลิ่นเปรี้ยวเล็กน้อย ส่วนค่า pH อยู่ระหว่าง 3.59-5.89 และระดับของสารกรดไฮโดรไซยาไนด์ตกค้างในเปลือกทุเรียนหมักใกล้เคียงกันทุกทรีทเมนต์ (0.32-0.98 mg%) เป็นระดับที่ไม่มีผลต่อสุขภาพของสัตว์ และระดับของอินทรียวัตถุ, วัตถุแห้ง, เถ้า และ ADF ใกล้เคียงกันทุกทรีทเมนต์ เมื่อเสริมยิสต์ทำให้ระดับโปรตีนสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) กว่าเกลือและโซเดียมไนเตรท (22.28, 18.22 และ 15.32 % ตามลำดับ) แต่ทำให้ระดับของเยื่อใย NDF สูงกว่าเกลือและโซเดียมไนเตรท สูตรเกลือมีต้นทุนในการหมักเพียง 1.45 บาท/กก. ซึ่งต่ำกว่าโซเดียมไนเตรทและยีสต์ สำหรับการทดลองที่ 2 ศึกษาสมรรถภาพการผลิตแพะที่ได้รับอาหารหยาบต่างกัน ใช้แผนการทดลองแบบเปรียบเทียบเป็นคู่ (t-test) คือแพะได้รับเปลือกทุเรียนหมัก (T1) และแพะได้รับหญ้า (T2) โดยแพะทุกตัวได้รับอาหารข้น 2% ของน้ำหนักตัว ใช้แพะเพศผู้ลูกผสมเมืองไทย 50% จำนวน 18 ตัว พบว่าแพะที่กินเปลือกทุเรียนหมักสามารถกินอาหาร (1920.40 กรัม/ตัว/วัน) ได้สูงกว่าแพะที่ได้รับหญ้า (1355.60 กรัม/ตัว/วัน) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) และเมื่อคำนวณปริมาณการกินได้เป็นน้ำหนักเมทาบอลิก/กรัม/วัน พบว่าแพะที่กินเปลือกทุเรียนหมักสามารถกินอาหาร (131.34 กรัม/น้ำหนักเมทาบอลิก/วัน) สูงกว่าแพะที่ได้รับหญ้า (109.83 กรัม/น้ำหนักเมทาบอลิก/วัน) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) นอกจากนั้นแพะที่ได้รับเปลือกทุเรียนหมักมีน้ำหนักเพิ่ม (8.92 กก.) สูงกว่าแพะที่ได้รับหญ้า (5.33 กก.) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) ส่งผลทำให้แพะที่ได้รับเปลือกทุเรียนหมักมีการเจริญเติบโต (108.14 กรัม/ตัว/วัน) สูงกว่าแพะที่ได้รับหญ้า (61.80 กรัม/ตัว/วัน) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) ส่วนแพะที่กินเปลือกทุเรียนหมักมีการย่อยได้ของวัตถุแห้ง, โปรตีน, ไขมัน, เถ้า, ADF และ ADL (84.24, 85.72, 89.62, 80.08, 84.06 และ 87.67%, ตามลำดับ) สูงกว่าแพะที่กินหญ้าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) แต่การย่อยได้ของ NDF มีค่าใกล้เคียงกัน ส่วนค่ายูเรียไนโตรเจน, น้ำตาลกลูโคส และ ฮอร์โมน T3 อยู่ในระดับปกติ เช่นเดียวกันกับค่ากรด-ด่าง, แอมโมเนียไนโตรเจน และกรดไขมันที่ระเหยได้มีค่าใกล้เคียง จากการทดลองแพะที่ได้รับเปลือกทุเรียนหมักสามารถสามารถลดต้นทุนค่าอาหารมากถึง 45% การทดลองที่ 3 ศึกษาสัดส่วนของเปลือกทุเรียนหมักในอาหารผสมสำเร็จ (total mixed ration; TMR) ต่อสมรรถภาพการผลิตแพะ 3 สัดส่วน คือ 60 (T1), 70 (T2) และ 80% (T3) วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ ใช้แพะเพศผู้ลูกผสมเมืองไทย 50% จำนวน 18 ตัว พบว่าแพะทุกกลุ่มกินอาหาร และมีการย่อยได้ใกล้เคียงกัน แต่อย่างไรก็ตาม แพะที่กินอาหารผสมสำเร็จที่มีเปลือกทุเรียนหมัก 60 และ 80 % มีน้ำหนักเพิ่ม (8.00 และ 8.23 กก./ตัว) และอัตราการเจริญเติบโต (95.24 และ 98.02 กรัม/ตัว/วัน) สูงกว่าแพะที่กินอาหารผสมสำเร็จที่มีเปลือกทุเรียนหมัก 70% (5.20 กก. และ 61.91 กรัม/ตัว/วัน) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) สำหรับระดับยูเรียไนโตรเจนของแพะที่ได้รับอาหารผสมสำเร็จที่มีเปลือกทุเรียนหมัก 60% สูงกว่าแพะทั้งสองกลุ่มอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) แต่ระดับน้ำตาลกลูโคสและฮอร์โมน T3 ในแพะทั้งสามกลุ่มใกล้เคียงกัน เช่นเดียวกันกับค่าความกรด-ด่าง, แอมโมเนียไนโตรเจน และกรดไขมันที่ระเหยได้ซึ่งอยู่ในระดับปกติ ส่วนแพะที่กินอาหารผสมสำเร็จที่มีเปลือกทุเรียนหมัก 80% มีต้นทุนค่าอาหารต่ำกว่ากลุ่มอื่นๆ ทำให้แพะกลุ่มนี้ให้กำไรสูงและสามารถลดต้นทุนค่าอาหารได้สูงกว่าเช่นกัน ดังนั้นจึงสามารถสรุปได้ว่า การใช้เปลือกทุเรียนหมักเป็นแหล่งอาหารหยาบทั้งการให้อาหารแบบแยกและให้ในรูปแบบอาหารผสมสำเร็จ ไม่มีผลด้านลบต่อสมรรถภาพการผลิตและสุขภาพของแพะ